"จะเปิดเรียน .. แค่ฉีดวัคซีนอย่างเดียว ไม่พอ .. ต้องทำเรื่อง "คัดกรองโรค" ด้วย"
เห็นโพสต์นี้ของคุณหมอ จิรรุจน์ @Jiraruj Praise (นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ) ชี้ประเด็นเกี่ยวกับนโยบาย "เปิดเรียนออนไซต์เทอมปลาย" ของกระทรวงศึกษาธิการฯ ที่ข่าวดูจะมุ่งแต่เรื่อง "การฉีดวัคซีนให้เด็ก" เพียงอย่างเดียว แต่ไม่พูดถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะทำให้เด็กไปเรียนหนังสืออย่างปลอดภัยที่สุด ... เลยขอเอามาสรุปให้อ่านกันครับ
1. อย่าลืมว่า วัคซีนโควิด (แม้แต่วัคซีนกลุ่ม mRNA อย่างของ บ.ไฟเซอร์) นั้นไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อโรค และไม่ได้ป้องกันการติดโรคได้ 100% ถึงฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังมีสิทธิติดโรคและแพร่เชื้อโรคได้ (แม้ว่าจะน้อยลงก็ตาม)
2 เด็ก มีอัตราป่วยหนักจนถึงเสียชีวิต จากโรคโควิด-19 ในระดับที่น้อยมากๆๆ อย่างกรณีของเด็กไทยที่ติดเชื้อ 1.2 แสนคนนั้น มีเสียชีวิตเพียง 18 ราย และส่วนมากมีโรคประจำตัว (ซึ่งเด็กที่มีโรคประจำตัวนั้น ควรจะรีบได้รับวัคซีน)
2.1 แม้ว่า ที่ผ่านมา จะเกิดคลัสเตอร์ต่างๆ มากมายขึ้นในประเทศ จนเด็กได้รับผลกระทบ ติดเชื้อตามไปด้วย แต่เด็กๆ ของเรา ก็มีการเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 ในอัตราที่ต่ำมากอยู่แล้ว
3. อย่าลืมว่าผู้สูงอายุต่างหาก ที่เป็นกลุ่มที่มีอัตราเสียชีวิตสูงมาก และควรได้รับวัคซีนให้ครบสมบูรณ์ ก่อนที่ลูกหลานจะไปโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ ในกรณีที่อาจติดเชื้อจากเด็กได้ (รวมถึงผู้ใหญ่คนอื่นๆ เช่น ครู ด้วย)
4. ดังนั้น อย่าติดกับดักเรื่อง "วัคซีนเด็ก" ว่าเป็นเครื่องมือเดียวที่จะทำให้เด็กๆ ปลอดภัยเมื่อเปิดเรียน แต่เรื่อง "การคัดกรองก่อนเข้าโรงเรียน" เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากๆ
5. รัฐต้องสนับสนุนเครื่องมือ เช่น ATK rapid test ให้มีการคัดกรองเด็กนักเรียนและบุคลากรการศึกษาในโรงเรียนเป็นประจำ อาจจะทุก 1-2 อาทิตย์
https://www.facebook.com/jiraruj/posts/4890702217624129
Search